• วิทยาศาสตร์กับฮวงจุ้ย

ฮวงจุ้ย (อังกฤษ:Feng Shui - ตัวอักษรจีนแบบง่าย: 风水 - ตัวอักษรจีนดั้งเดิม: - 風水) ฮวงจุ้ยหมายถึง สภาวะแวดล้อม หรือการอยู่อาศัยให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ในคติของชาวจีน มีลักษณะใกล้เคียงสถาปัตยกรรมศาสตร์ คำว่า ฮวงจุ้ย มาจากคำว่า ลม(ฮวง)และ น้ำ(จุ้ย) ออกเสียงตามสำเนียง จีนแต้จิ๋ว

ฮวงจุ้ย นี้อาศัยหลักการของการไหลเวียนของลมและน้ำในspaceของสภาพแวดล้อมต่างๆ สิ่งนี้เราเรียกมันว่า ของไหล ซึ่งนักฮวงจุ้ย ที่ดีต้องนำของไหลที่ดี มาทดแทนของไหลที่ไม่ดี หรือปิดกั้นมิให้ของไหลบางอย่างที่ไม่ดีมารบกวนผู้อยู่อาศัย

ศาสตร์นี้มาจากประเทศจีน ดังนั้นผู้ที่ศึกษาและอาจารย์มักจะมีเครื่องรางที่มาจากจีนมาใช้ในการแก้ ความเป็นจริงแล้ว การสร้างสภาพแวดล้อม ตามหลักฮวงจุ้ยนั้น ไม่เหมือนกันเลยในแต่ละเขตของโลก สภาพภูมิอากาศคนละอย่าง ในเรื่องของพิธีกรรมจีน จึงมีบทบาทกับฮวงจุ้ย กับทุกประเทศซึ่งเป็น เรื่องที่ต้องพิจารณากัน

ในเมืองไทย บ้านเรือนไทยสมัยก่อนจัดว่าถูกหลักของการจัดฮวงจุ้ยที่ถูกต้องในสภาพอากาศนี้ สำหรับในปัจจุบันบ้านเรือนไทย อาจจะไม่เหมาะ เนื่องจากราคาสูง ดังนั้นสถาปนิกที่มีต้องปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรม

การจัดตามหลักฮวงจุ้ยนั้นมีการจัดเพื่อการณ์หลายอย่างตามการใช้งานที่เจ้าของอย่างให้เป็น ดังนั้นพื้นที่ (space) กับอารมณ์ (mood) มีส่วนสำคัญกับงานฮวงจุ้ย อารมณ์ของคน มีส่วนกับดวงชะตา วันเดือนปีเกิด และดวงดาวรวมถึง หลักเชิง จิตวิทยา ไม่แปลกเลย ที่คนส่วนใหญ่มักไม่เข้าใจ และบอกว่าฮวงจุ้ยเป็นเรื่องงมงาย

ศาสตร์ฮวงจุ้ยของจีน ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน เพื่อใช้ในการเลือกทำเลสร้างเมือง ที่เหมาะสม โดยมีหลักการ ขั้นพื้นฐานคือ ด้านหลังต้องเป็นภูเขาเพื่อเป็นแนวป้องกันการรุกราน จากชนเผ่าอื่น ซึ่งในอดีต การกรีฑาทัพมาก่อสงคราม ต้องอาศัยการเดินเท้าเป็นหลัก การเดินทางข้ามป่า และภูเขาสูง จึงเป็นเรื่องที่ยาก ลำบาก และเต็มไปด้วยอันตรายจากสัตว์ป่า และโรคระบาดต่าง ๆ ภูเขาจึงเป็นกำแพงทาง ธรรมชาติ ที่ดียิ่งของเมือง นอกจากนี้ ภูเขายังช่วยบังลมหนาวที่โหดร้าย ซึ่งพัดมา จากทางตอนบนของประเทศ รูปทรงของภูเขาที่ดีจึงควรสูงสง่า และทอดตัวยาวต่อเนื่อง โอบรอบทางด้านข้างของเมืองไว้ทั้งสอง ด้านเหมือนเกือกม้า หรือเก้าอี้นวมชุดรับแขก ที่มีส่วนวางมือซ้ายขวา ส่วนด้านหน้าของเมืองจะเลือกชัยภูมิ ที่ติดกับแม่น้ำ เพื่อใช้ใน การทำเกษตรกรรม และ ระบบชลประทาน โดยรูปทรงของแม่น้ำ ที่ดีจะต้องมีลักษณะโค้งโอบตัวเมือง สาเหตุเพราะว่า การไหลของน้ำ ก่อให้เกิดการกัดเซาะผืนดินที่อยู่ทางด้านนอกของโค้งน้ำทำให้ที่ดินหดหายเข้าไป ตลอดเวลา ซึ่งมีผลต่อสิ่งปลูกสร้าง ในบริเวณนั้น ดังที่เคยทราบข่าวว่า บ้านในแถบริมฝั่งแม่น้ำทรุดตัวถล่มลงไปในนน้ำหลายสิบหลัง ในขณะเดียวกัน แผ่นดินอีกฝั่ง ภายในของโค้ง กลับจะมีที่ดินงอกเพิ่มขึ้น จากการที่แม่น้ำ ได้นำตะกอน มาสะสม ในบริเวณนี้ จึงทำให้เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะต่อการเพาะปลูก และอยู่อาศัยเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมาศาสตร์ฮวงจุ้ยได้พัฒนาขึ้นจากการสังเกต ของปราชญ์ในอดีต ว่าเพราะเหตุใด ภูเขาสองลูก หรือ ที่ดินสองแปล งที่อยู่ในบริเวณ ใกล้เคียงกันได้รับ ลมและฝน จาก ธรรมชาติอย่างเท่าเทียม ภูเขา หรือที่ดินหนึ่งจึง อุดมสมบูรณ์ ในขณะที่ภูเขาหรือที่ดินอีกแปลงหนึ่ง กลับแห้งแล้ง ปราชญ์จีนโบราณจึงได้เริ่มสัมผัสถึง พลังบางอย่างที่มีอยู่ใน สภาพแวดล้อมและทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อกันและกัน พลังนี้ถูกเรียกว่า ปราณชี่ (ภาษาแต้จิ๋วอ่านว่า ขี่) สอดคล้องกับการค้นพบของโยคีในอินเดีย ที่เรียกว่า ปราณจักร ในวิชาโยคะ และในโลกตะวันตกที่เรียกว่า พลังชีวิต หรือ พลังออร่า พลังชี่หรือปราณชี่ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่า จะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งมนุษย์สัตว์ พืช ก้อนหิน โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องจักร เสาไฟฟ้า ดิน น้ำ ถนน บ้าน และทุก ๆ อย่าง ต่างส่งพลังออกมากระทบเข้ากับ พลังของสิ่งอื่นๆ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์สามารถให้คำอธิบายบางประการสำหรับเรื่องนี้ คือ กฎแรงดึงดูดระหว่างวัตถุ ในวิชาฟิสิกซ์ ที่กล่าวว่า วัตถุทุกชนิดมีแรงดึงดูด ระหว่างกัน วัตถุที่มีขนาดใหญ่จะมีแรงดึงดูดมาก เช่น พระอาทิตย์มี แรงดึงดูดโลก ไว้ไม่ให้หมุนหลุด วงโคจรออกนอกจักรวาล และระยะทางยิ่งใกล้ยิ่งมีแรงดึงดูดมาก เช่น ดวงจันทร์ แม้จะมีขนาดเล็ก แต่อยู่ใกล้โลก กลับมีแรงดึงดูดต่อน้ำบนโลกมากกว่า พระอาทิตย์ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ น้ำขึ้นน้ำลงได้ นอกจากนี้ การที่เรายืน หรือนั่ง อยู่ในขณะนี้ได้ ก็เพราะ แรงดึงดูดที่โลก มีต่อตัวเรา หากไม่มี แรงดึงดูดนี้ เราก็จะลอยได้เหมือนอยู่ใน อวกาศ

นักวิทยาศาสตร์ของจีนโบราณพบว่า โลกมีพลังงาน ที่มองไม่เห็นด้วย ตาเปล่า ห่อหุ้มอยู่ โดยกระแสพลัง พุ่งมาจาก ด้านทิศใต้ไป ทางทิศเหนือที่เรียกว่า เส้นแรงของแม่เหล็กโลก ไม่ใช่จากเหนือไปใต้อย่างที่เราเข้าใจ โดยจะสังเกตพบว่า เข็มทิศในปัจจุบัน ที่เราใช้กันอยู่นั้น ตัวหัวเข็มสีแดงที่เป็นขั้วบวก จะชี้ไปทางทิศเหนือ ซึ่งแสดงว่า ขั้วโลกเหนือเป็นขั้วลบ เพราะแม่เหล็กขั้วต่างกัน จึงจะดูดกัน ดังนั้นขั้วโลก จึงเป็นขั้วบวก และตาม กฎทางวิทยาศาสตร์ พลังของแม่เหล็ก จะออกจากขั้วบวก ไปยังขั้วลบเสมอ แสดงว่า พลังวิ่งจากขั้วโลกใต้ไปสู่ขั้วโลกเหนือ ตามที่ชาวจีนโบราณ ค้นพบ นักวิทยาศาสตร์ของจีนในยุคนั้น จึงได้ออกแบบเข็มทิศ ให้ชี้ไปทางทิศใต้แทน และได้แนะนำให้จักรพรรดินั่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ขณะขึ้นว่าการบนบัลลังก์ เพื่อรับพลัง จากแม่เหล็กโลก นอกจากนี้ ยังมีปฏิกิริยาที่ก่อเกิดจาก พลังธรรมชาติ ของเหล็กอื่นอีกหลายชนิด (ที่ส่งผลให้เกิด ความเป็นไป ต่างๆในโลก) ตัวอย่างเช่น พลังงานของพระจันทร์ ที่มีผลต่อน้ำขึ้น-น้ำลงทั่วทั้งโลกวันละ 2 ครั้ง และยังส่งผล มายังเลือด ในตัวของมนุษย์ ซึ่งเป็นน้ำ ที่มีน้ำหนักกว่า ร้อยละ 80 ของร่างกาย โดยทำให้วงจรพลังงานในตัวผู้หญิงขับถ่ายเลือดเสีย ที่เกิดจาก การสุกของไข่ออกจากร่างกายทุก 28 วัน เท่ากับอัตราการหมุนของพระจันทร์รอบโลก 1 รอบ พอดี ! คนโบราณเข้าใจถึง ความสัมพันธ์นี้จึงตั้งชื่อเลือดนี้ว่า “ประจำเดือน” เพราะเดือนแปลว่าพระจันทร์ และยังมีอิทธิพลต่อ เพศชาย ไม่น้อยกว่ากัน โดยกระตุ้น ฮอร์โมน เพศที่อยู่ในเลือด ให้เกิดความ ต้องการมากขึ้นเป็นพิเศษ ในวันพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจ ยืนยันพบว่า สถิติอาชญากรรมทางเพศจะเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าเสมอในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ ส่วนสัตว์หลายชนิดก็จะผสมพันธ์กัน เฉพาะวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น เช่น ปู ม้าน้ำ ปลาบางประเภท เป็นต้น พระจันทร์ซึ่งเล็กกว่าโลกหลายสิบเท่า และห่างออกไป จากโลก เป็นระยะทางหลักล้านกิโลเมตร ยังสามารถ ส่งอิทธิพล มาสู่มนุษย์ ทั้งชายและหญิง ได้มากถึงเพียงนี้ แล้วในกรณีของโลก ซึ่งใหญ่กว่า พระจันทร์ และอยู่แนบชิดกับ ตัวมนุษย์ทุกคน จะมีพลังงาน ที่ส่งอิทธิพลต่อตัวมนุษย์สักเพียงใด มีข้อที่น่าสังเกต ประการหนึ่งคือ แม่เหล็ก ย่อมมีอิทธิพลต่อเหล็กเสมอ และธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักในเลือดของมนุษย์ ก็คือ ธาตุเหล็ก นั่นเอง ! ซึ่งโลกของเราก็เต็มไปด้วย พลังแม่เหล็ก ห่อหุ้มอยู่ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เพราะเหตุใดปราชญ์จีน สมัยโบราณจึงใช้เข็มทิศ มาวิเคราะห์ หาทิศทางของ พลังงานที่ดีของบ้านแต่ละหลัง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้พลังงานในตัวของมนุษย์ ที่อาศัยอยู่ใน บ้านหลังนั้น เข้มแข็ง ทำให้ สมอง ปลอดโปร่งแจ่มใส ร่างกายแข็งแรง สามารถออกไปต่อสู้กับ โลกภายนอกได้อย่างมั่นคง การคิดและตัดสินใจ ถูกต้อง ทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น อีกทั้งพลังงานที่ดี ในตัวก็จะดึงดูดบุคคลที่มีพลังดีด้วยกันเข้ามา (ตามกฎของ ธรรมชาติ แม่ เหล็กย่อมดูดเหล็กเสมอ พลังดีย่อมดึงดูดพลังดี) นำมาโอกาสที่ดีเข้ามาสู่ชีวิต

ในทางตรงกันข้าม หากคนมีพลังที่อ่อนแอ ย่อมส่ง สัญญาณดึงดูดเอานักล่าหรือคนไม่ดี ให้เข้ามาเอาเปรียบผู้นั้น เหมือนดั่ง ปลาฉลาม ที่จะ ดักจับสัญญาณ และจู่โจม เฉพาะสัตว์ที่กำลัง บาดเจ็บอ่อนแอ ทำให้ชีวิตมักประสบ แต่ความล้มเหลว เกิดความเครียด ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม ด้วยเหตุที่มนุษย์แต่ละคน เกิดมาคนละช่วงฤดูกาล ซึ่งพระอาทิตย์ทำมุมต่อโลก ในองศา ที่ไม่เท่ากัน จึงได้รับพลังแรกในยามที่ออกจากท้องมารดาประจุเข้าไป
ในตัวเราที่แตกต่างกันทั้งชนิดและคุณภาพ ดังนั้นทิศทางที่ควรนั่ง หรือนอนสำหรับแต่ละปัจเจกบุคคลย่อมแตกต่างกัน เพื่อหันรับพลังงานในทิศทางชนิดที่ดี ที่สุดสำหรับตัวเอง อันเป็นที่มาของศาสตร์ที่เราเรียกกันว่า “ฮวงจุ้ย” ซึ่งมีความเป็น วิทยาศาสตร์แท้ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ การตั้งเจ้าที่ ศาลพระภูมิ การบูชาสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ การติดยันต์ เสือคาบดาบตามทางสามแพร่ง หรือพิธีกรรมใด ๆ เลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งเหล่านั้นคือไสยศาสตร์ ลัทธิ ศาสนา วัฒนธรรม และ ความเชื่อ ที่ปะปนมากับบุคคลต่างๆ ที่เข้ามาศึกษาศาสตร์ฮวงจุ้ยในรุ่นหลัง ซึ่งขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วนำสิ่งเหล่านี้เข้าผสมปนเปื้อนและบิดเบือน ให้บุคคล ทั่วไป เข้าใจผิดมาจนถึงในปัจจุบัน หากคุณมีประสาทสัมผัสที่ละเอียดอ่อน หรือได้รับการฝึกทักษะทางด้านนี้อย่างจริงจัง คุณก็จะสามารถสัมผัสพลังของวัตถุรอบตัวที่ส่งมาถึงคุณได้เหมือนอย่างนักดนตรี ที่พัฒนาหูให้ได้ยินโน๊ตทุกตัวจาก เครื่องดนตรี หลายชิ้น ที่บรรเลงพร้อมกัน ประสาทสัมผัสส่วนนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนมีมาตั้งแต่เกิด ซึ่งเหมือนกับ สัญชาติญาณ ใน สัตว์บางชนิด ที่รู้ล่วงหน้าว่า จะเกิด แผ่นดินไหว หรือ น้ำท่วม โชคไม่ดีที่วิธีการศึกษาในระบบโรงเรียนของเรา กลับกดประสาทสัมผัสส่วนนี้เอาไว้ วิชาฮวงจุ้ยมีประวัติศาสตร์ การค้นพบมา ตั้งแต่ประมาณห้าพันปีที่แล้ว โดยมีหลักการ ที่เป็นวิทยาศาสตร์คือ เป็นการศึกษา เรื่องของ การบริหารพลังธรรมชาติ ให้มาเสริมพลังของคน เพราะมนุษย์เรามาอยู่ท่ามกลาง พลังงานธรรมชาติ ตลอดเวลา สังเกตได้ง่ายๆ ในเวลาที่เราถือเข็มทิศนั้น ปลายเข็มสีแดง จะหมุนชี้ไป ทางทิศเหนือ เสมอไม่ว่า เราจะยืนอยู่ตรงส่วนไหนของโลก
แสดงว่าบนโลกของเรามีเส้นแรงแม่เหล็กห่อหุ้มล้อมรอบตัวเราอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง พลังแม่เหล็ก ย่อมส่งผลต่อ ธาตุเหล็กเสมอ และเลือดในตัวของมนุษย์ ก็มีธาตุหลักคือ ธาตุเหล็ก นั่นเอง จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพลังแม่เหล็กโลก จึงมามีอิทธิพลต่อ ชีวิตของคนได้

วิธีการจัดฮวงจุ้ยจึงต้อง เริ่มต้นด้วย การวัดองศาว่า บ้านของเราทำมุมอย่างไรกับกระแสแม่เหล็กโลก ประตูของเรา เหนี่ยวนำพลังดี หรือพลังร้ายเข้ามาในบ้าน พลังนั้น จะเข้ามากระตุ้น ให้เกิดความคิดใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับ จังหวะและโอกาสภายนอก ทำให้เกิด ความเจริญรุ่งเรือง หรือเป็นพลังร้าย ที่มาเบี่ยงเบน การคิดหรือตัดสินใจ ให้ผิดพลาด ล้มเหลว ฮวงจุ้ยจึงเป็นปัจจัยที่ส่งผล ต่อชะตาชีวิตเป็นอย่างมาก มีคำพูดของนักปราชญ์โบราณ ที่ได้กล่าวไว้ว่า “จักรวาลเป็นเช่นไร คนเป็นเช่นนั้น” ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงวิถีการโคจรของดวงดาว แต่ละดวง บนท้องฟ้า เป็นวัตถุธาตุขนาดมหึมา สามารถส่งแรงดึงดูด และพลังงานมามี ปฏิสัมพันธ์ และมีอิทธิพลต่อ โลกของเรา ได้ทั้งในด้านภูมิประเทศ ภูมิอากาศ อุณหภูมิ บรรยากาศ แรงดัน การขึ้นลงของน้ำ ทั่วทั้ง มหาสมุทร จนไปถึง สิ่งที่เล็กที่สุด อย่างอิเลคตรอน ที่เป็น องค์ประกอบ ในวัตถุทุกชนิด และสิ่งมีชีวิตทุกประเภท รวมทั้งวิถีชีวิตของคน ได้โดยทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ เกี่ยวพันธ์สอดคล้องกัน ทำให้สามารถคำนวณรู้ได้ วิชาการทางโหราศาสตร์ จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการศึกษาและหยั่งรู้จังหวะ ความเปลี่ยนแปลงของดวงดาวต่างๆ ที่มีปฏิกิริยาสอดคล้อง กับวิถีชีวิต ของมนุษย์แต่ละคน เหมือนฟันเฟืองตัวใหญ่และตัวเล็กนั่นเอง ณ วินาทีที่ เราเกิดมนุษย์แต่ละคนได้ชาร์ต พลังธรรมชาติ ที่แตกต่างกันเข้าไป ในตัวพลังเหล่านี้ เป็นตัวขับเคลื่อน ความเป็นไปของชีวิต เหมือนเป็นเฟืองตัวเล็ก ซึ่งในช่วงเวลาที่เราเกิดนั้น ดวงดาวแต่ละดวงก็จะวางตัวในทิศทางองศา ที่แตกต่างกัน เปรียบเหมือน เฟืองตัวใหญ่ ถ้าหากเราสามารถคำนวณรู้ได้ว่า ในขณะนี้ เฟืองตัวใหญ่ ขับเคลื่อนไปใน ทิศทางใด ก็จะสามารถหยั่งรู้ถึง แนวโน้มทิศทางของเฟืองตัวเล็กได้เช่นเดียวกันแต่ปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อชะตาชีวิต ของคนนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ กลไกของเฟืองตัวนี้เท่านั้น ยังปัจจัยอื่นๆอีก 2 นิดซึ่งจะได้อธิบายเพิ่มเติมต่อไป

ในปรัชญาวิชาฮวงจุ้ยของจีนยังมีคำกล่าวที่สอดคล้องกันข้อความข้างต้น โดยพูดไว้ว่า "ทุกส่วนที่เล็กที่สุดเป็นตัวแทน ที่สมบูรณ์ ของจักรวาล" เราดูตัวอย่างง่ายๆ โดยสิ่งที่ใหญ่ที่สุดก็คือตัวจักรวาลเอง มีดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง และมีดาวเคราะห์ต่างๆโคจรล้อมรอบ ส่วนสิ่งที่เล็กที่สุด ก็คือ อะตอม ซึ่งมี อิเล็คตรอน เป็นจำนวนมากหมุนรอบโปรตอน ที่เป็น แกนกลาง จะสังเกตได้ว่ามีโครงสร้างหน้าตา ที่เหมือนกัน อิเล็กตรอนจะมีลักษณะ การวิ่งหมุนแบบวนซ้าย เมื่ออะตอมเกาะกลุ่มรวมตัวกันเป็นโมเลกุล โครงสร้างที่เกิดขึ้น ก็เวียนซ้ายด้วย เมื่อประกอบรวมกันกลายเป็นสสาร จึงได้มีรูปแบบที่วนซ้ายไปด้วย ดังเช่น เมื่อประกอบขึ้นมาเป็นยีน หรือดีเอ็นเอ ในร่างกาย เส้นดีเอ็นเอทั้งหมด ก็จะพันกันเป็น เกลียวแบบเวียนซ้าย โดยมนุษย์เรา ได้ยีนหนึ่งชุดจาก พ่อและอีกชุดหนึ่งจากแม่ มาผสมกัน ตัวดีเอ็นเอ จะพันกันเป็นเกลียวก่อตัวเจริญเติบโตขยายตัวเป็นอวัยวะต่างๆ สร้างขึ้นมาเป็นร่างกายของเรา ระบบ กล้ามเนื้อ และอวัยวะต่าง ๆ ก็มีลักษณะในการวนซ้าย ดังจะสังเกตว่า หัวใจซึ่งเป็นจุดตั้งต้น ของระบบเลือดจะอยู่ซีกซ้าย ส่งเลือดไป ทางขวา ส่วนกระเพาะอาหารซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของระบบย่อยก็จะอยู่ด้านซ้าย เมื่อเชื่อมต่อไปยังลำไส้เล็ก ก็มีการ ขดเวียน จากซ้าย ไปขวา ตามเข็มนาฬิกาเช่นเดียวกัน ลองสังเกตลายเส้นขนบนตัวของท่าน ก็หมุนวน เป็นวงกลมจาก ซ้ายไปขวา ขึ้นมาจน ถึงจุด สุดยอดตรงขวัญบนศีรษะ นี่คือ ลายของพลังงาน เป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงมีขวัญ และคนร้อยละ 80-90 ทั่วโลกขวัญ จะวนซ้ายไป ขวาเสมอ รวมไปถึง ลายก้นหอยบนนิ้วมือ ก็จะวนซ้าย เสมอเวลาไปเที่ยวทะเลคุณสังเกตดู หอยเกือบทุกตัวในโลก ก้นหอยจะวนซ้าย นานๆจะเจอ แบบที่วนขวา ในสมัยโบราณ ถ้าพบหอยสังข์ที่ก้นหมุนวนขวา เมื่อไหร่เขาถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเอาไปถวาย ในหลวง เพื่อนำไปใช้เป็น วัตถุมงคลในงานพระราชพิธีต่าง ๆ เพราะเชื่อว่ามีพลังพิเศษสามารถหมุนต้าน พลังจักรวาล ของโลกได้